วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

การเลี้ยงปลาสวาย

การเลี้ยงปลาสวายประเภทเลี้ยงชนิดเดียวนั้น ปัจจุบันมีการเลี้ยงอยู่ 2 วิธีคือเลี้ยงในบ่อดินและเลี้ยง ในกระชัง
1. การเลี้ยงปลาในบ่อดิน
การเลี้ยงปลาสวายในบ่อดินทำกันมากในภาคกลาง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดนครสวรรค์ลงมาถึงสุพรรณบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร แต่ข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยง การให้อาหารตลอดจนการเจริญเติบโตค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก ทั้งนี้เป็น เพราะมีปัจจัยอยู่หลายอย่างที่ทำให้มีข้อแตกต่างดังกล่าว เช่น น้ำและคุณสมบัติของน้ำที่ใช้เลี้ยง อาหารที่ใช้เลี้ยง วิธีการเลี้ยง และการจัดการ ตลอดจนการเอาใจใส่ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่สำคัญใน การเลี้ยงทั้งนั้น
อย่างไรก็ตามการเลี้ยงปลาสวาย ควรจะได้มีการพิจารณาหลักทั่ว ๆ ไปดังต่อไปนี้
1.1 ขนาดของบ่อและที่ตั้ง ควรเป็นบ่อขนาดใหญ่ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ขึ้นไปหรืออย่างน้อยไม่ควร ต่ำกว่า 400 ตารางเมตร ความลึกประมาณ 2 เมตร ที่ตั้งของบ่อควรใกล้แม่น้ำหรือลำคลองที่สามารถรับน้ำและ ระบายน้ำเข้าออกได้เมื่อต้องการ
1.2 การเตรียมบ่อ ใช้หลักการและวิธีการเดียวกับหลักการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่วไป
1.3 น้ำที่เอามาใส่ไว้ในบ่อ ต้องเป็นน้ำที่มีคุณสมบัติมีความเป็นกรด-ด่าง และปริมาณออกซิเจนเหมาะสม
1.4 การคัดเลือกพันธุ์ปลาสำหรับปล่อยลงบ่อเลี้ยงควรพิจารณาถือเอาหลักง่าย ๆ ดังนี้
- เป็นปลาที่สมบูรณ์ ไม่เป็นแผล ไม่แคระแกร็นหรือพิการ และปราศจากโรค
- เป็นปลาขนาดไล่เลี่ยกัน เพราะปลาที่โตแตกต่างกันจะรังแกกันและแย่งอาหาร สู้ตัวโตไม่ได้ เมื่อถึงเวลา จับขายทำให้มีปัญหา บางทีต้องคัดทำการเลี้ยงต่อไปหรือบางทีมีอุปสรรคในการเลี้ยง
1.5 อัตราการปล่อย ปลาที่ปล่อยควรมีขนาดค่อนข้างโต หรือขนาด 5 - 12 ซม. อัตราการปล่อย 2 - 3 ตัว/ ตารางเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณณและคุณภาพของอาหาร และความอุดมสมบูรณ์ของน้ำที่ใช้เลี้ยง
1.6 อาหาร ปลาสวายเป็นปลากินอาหารได้ทุกประเภทโดยไม่เลือก ซึ่งได้แก่พืช สัตว์เล็ก ๆ อยู่ในน้ำ เช่น พวกแมลง ไส้เดือน หนอนและตะไคร่น้ำ ตลอดจนพวกจอกแหนและผักที่กินใบ นอกจากนั้นปลาสวายยังมีความ สามารถในการใช้มูลสัตว์จำพวกหมู ไก่ และจำพวก วัว ควาย ให้เป็นอาหารโดยตรงได้อีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง ปลาสวายจึงเป็นปลาที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นปลาเลี้ยงแบบไร่ผสมหรือเรียกว่าแบบผสมผสานชนิดหนึ่งที่ได้รับ ความนิยมอย่างกว้างขวาง
การหาวัสดุมาใช้เป็นอาหารของปลาสวายเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งของการเลี้ยงปลาสวายเพราะในการเลี้ยง ปลาสวายให้มีความสำเร็จหรือให้ได้ผลกำไรนั้นอยู่ที่การหาวัสดุมาใช้เป็นอาหาร ถ้าหากการหาวัสดุมาได้ด้วยราคา ถูก การเลี้ยงปลาก็ได้กำไร และในทางตรงกันข้ามถ้าวัสดุอาหารหาได้ด้วยราคาแพงก็จะได้กำไรน้อยหรือขาดทุน
อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาสวายในเขตชานเมืองของกรุงเทพมหานครปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตปลาสวาย ส่วนใหญ่จะได้มาจาก
- เศษอาหารจากภัตตาคารและร้านค้า
- พวกมูลสัตว์ หรืออาหารจากส่วนที่ย่อยไม่หมดของกระเพาะและลำไส้ของโค กระบือและสุกรจาก โรงฆ่าสัตว์
- เศษผักจากสวนผักซึ่งผู้ทำสวนผักตัดและคัดทิ้ง
- เศษผักจากตลาดสดที่ถูกตัดทิ้ง ตลอดจนเศษเครื่องในและเหงือกปลาที่แม่ค้าในตลาดควักออกทิ้ง
- เศษมันเส้น (จากมันสำปะหลัง) หรือมันเส้น หรือหัวมัน ตลอดจนใบมัน โดยเฉพาะใบมันอาจโยนให้ โดยตรงหรือต้มผสมกับวัสดุอื่นให้กิน
1.7 การเจริญเติบโต การเลี้ยงปลาสวายในบ่อดินจะใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8-12 เดือน ปลาสวายจะมีขนาด 1 - 1.5 กก. ซึ่งเป็นขนาดที่จำหน่ายได้ใ นท้องตลาดทั่ว ๆ ไป
1.8 การจับ หากทำการจับปลาจำนวนน้อย ให้ใช้แหหรือสวิงแต่ถ้าจำนวนมาก ควรใช้อวนหรือเฝือกสุกล้อม หากเป็นบ่อขนาดใหญ่ให้แบ ่งตอนของบ่อด้วยเฝือกหรืออวนก่อน แล้วใช้อวนล้อมสกัดจับส่วนที่ต้องการ ออก เพื่อไม่ให้ปลาในบริเวณที่เหลือมีอาการตื่นตกใจตามไปด้วย
1.9 ผลผลิต ปลาที่เลี้ยงในบ่อดินจะมีผลผลิตในระยะ 8 - 12 เดือน ประมาณ 4,000 - 6,000 กก./ไร่ ทั้งนี้แล้วแต่ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารที่ให้และน้ำที่ใช้เลี้ยง
การแก้ปัญหากลิ่นสาบโคลนของปลาสวายที่เลี้ยงในบ่อ
จากการเลี้ยงปลาสวายในบ่อโดยเฉพาะที่เลี้ยงอย่างหนาแน่นนั้น มักจะมีกลิ่นสาบโคลนเมื่อนำมาทำเป็น อาหาร การแก้ปัญหากลิ่นสาบโคลนมีดังนี้
- ถ่ายเทน้ำที่เลี้ยงปลาติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะนำปลาสวายไปจำหน่ายหรือทำอาหาร
- ก่อนจะนำไปจำหน่ายหรือทำอาหาร ควรจับปลาหรือถ่ายปลาจากบ่อใหม่ที่มีน้ำสะอาดและถ่ายเทได้ พอสมควร แล้วให้อาหารจำพวกปลายข้าวต้มผสมรำก่อนนำไปจำหน่าย 2 - 3 วัน จะทำให้ปลามีกลิ่นดีขึ้นเมื่อ ทำอาหาร
2. การเลี้ยงปลาในกระชัง
การเลี้ยงปลาสวายในกระชังนั้น เป็นการเลี้ยงที่ให้ผลผลิตสูงกว่าการเลี้ยงในบ่อดิน เป็นการเลี้ยงที่ได้รับ ความนิยมอย่างมาก จากราษฎรที่อาศัยเรือนแพในแม่น้ำ ลำคลองแถบภาคกลาง เช่น จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา ฯลฯ หลักเกณฑ์การเลี้ยงปลาสวายในกระชังมีดังนี้
1. ที่ตั้งของกระชัง ควรตั้งในแหล่งน้ำจืดที่มีน้ำไหลถ่ายเทได้ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หากจะเลี้ยงในอ่างเก็บน้ำควรตั้งกระชังให้อยู่ในบริเวณตอนบนของอ่าง ซึ่งมีกระแสน้ำพอที่จะช่วยถ่ายเทของเสียจากกระชังได้บ้างก็จะเป็นการดี
2. วัสดุที่ใช้สร้างกระชัง ส่วนใหญ่นิยมทำด้วยไม้เนื้อแข็ง และจะมีอยู่บ้างที่ยังใช้ไม้ไผ่สานทำเป็นกระชัง นอกจากนั้นก็มีการใช้เนื้ออวนโพลีเอททีลิน แต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก ในการใช้วัสดุพยุงกระชังให้ลอยน้ำนั้นนิยม ใช้ไม้ไผ่มัดเป็นแพลูกบวบ
3. ขนาดของกระชัง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นกระชังไม้หรืออวนจะมีขนาด 8 - 15 ตารางเมตร ลึก 1.25 - 1.50 เมตร และถ้าเป็นไม้ไผ่สานจะมีขนาด 2 x 5 x 1.5 เมตร
4. อัตราการปล่อย ปลาที่ปล่อยเลี้ยงในกระชังขนาด 7 - 12 ซม. ปล่อยในอัตรา 100 - 200 ตัว/ตารางเมตร
5. อาหารและการให้อาหาร ใช้อาหารและส่วนประกอบของอาหารที่เลี้ยงในบ่อ แต่มีข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับการให้อาหารปลาที่เลี้ยงในกระชังนั้น อาหารอาจจะฟุ้งกระจายขณะที่ปลาสวายแย่งกันกินอาหาร จะมีส่วนสูญเสียอยู่จำนวนหนึ่งอาจแก้ไขได้โดยใส่สารเหนียวผสมในอาหารที่ให้ควรจะให้วันละ 1 ครั้ง ในปริมาณ 3 - 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว
6. การเจริญเติบโต ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพของอาหารที่ให้ หากเป็นกระชังขนาดประมาณ 10 ตารางเมตร ลึก 1.25 เมตร ปล่อยปลา 150 - 200 ตัว/ตารางเมตร ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 1 ปี จะให้ผลผลิตประมาณ 1,500 กก./กระชัง
7. การจับและลำเลียงส่งตลาด การจับปลาสวายที่เลี้ยงในกระชังนั้น ทำง่าย ๆ แบบใช้อวนล้อมจับในกระชังซึ่งง่ายกว่าการ จับในบ่อมาก
การลำเลียงทางบกเพื่อให้ได้ปลามีชีวิตไปขายในตลาด ทำได้ง่าย ๆ โดยรถยนต์โดยเฉพาะรถปิกอัพ ใช้ ถังสี่เหลี่ยมขังน้ำประมาณเพียงเพื่อให้ท่วมปลา แล้วใช้อวนปิดถัง การลำเลียงแบบนี้ควรทำตอนเช้ามืดหรือ กลางวันซึ่งมีอากาศเย็นจะได้ผลดีมาก

โดยปกติปลาสวายมักจะไม่ค่อยเป็นโรคมากนัก โรคที่พอจะพบได้บ้างคือ
1. โรคที่เกิดจากพยาธิ “อิ๊ค” (Ichthyophthirius sp.) เกิดได้กับปลาทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ จัดว่า เป็นโรคที่ทำความเสียหายให้แก่ผู้เลี้ยงปลามากที่สุด เนื่องจากตัวเต็มวัยของพยาธิอยู่ใต้ผิวหนังของปลาและดูดเลือดกินเป็นอาหาร ปลาที่เป็นโรคชนิดนี้จะปรากฎจุดสีขาวกระจายไปทั่วลำตัว มีเมือกหลุดออกมา และมีอาการเฉื่อยชา โรคนี้มักเกิดจากการเลี้ยงปลาหนาแน่นมากเกินไป อาหาร คุณภาพ และปริมาณไม่พอเพียง อุณหภูมิต่ำ ถ้าพบว่า ปลาตัวใดเป็นโรคนี้ ให้รีบใช้ยากำจัดทันที ก็สามารถป้องกันการระบาดของโรคได้ เพราะอิ๊คเข้าทำลายตัวปลาไม่พร้อมกัน
วิธีแก้ไข
ก. แช่ปลาในน้ำยาฟอร์มาลิน (Formalin) เข้มข้น 25 ส่วนในล้านส่วน โดยแช่วันเว้นวัน
ข. แช่ปลาที่เป็นโรคใช้น้ำยาเมททีลีนบลู (Methylene blue) เข้มข้น 200 ส่วนในล้วนส่วน ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วย้ายมาขังไว้ในบ่อที่มีน้ำสะอาดประมาณ 2 - 3 วัน จุดขาว ๆ จะค่อย ๆ หายไปเอง
ค. แช่ปลาในสารละลายไนโตรฟูราโซน ความเข้มข้น 1 กรัมต่อน้ำ 40 ลิตร นานประมาณ 2 - 3 วัน
ง. แช่ปลาในสารละลายออรีโอมัยซิน ความเข้มข้นน 15 มิลลิกรัมต่อน้ำ/ลิตร นานประมาณ 4 วัน
2. โรคที่เกิดจากพยาธิ “ทริโคตินา” Trichodina sp.) ส่วนมากเป็นกับปลาขนาดเล็ก พยาธิชนิดนี้จะเกาะ อยู่ตามบริเวณลำตัว ครีบ ซี่เหงือก อาการที่ปรากฎคือ มีลักษณะเป็นแผ่นเยื่อบาง ๆ ปกคลุมบริเวณดังกล่าวทำให้ ปลามีอาการเฉื่อยชา ไม่ค่อยกินอาหารและจะตายในที่สุด
วิธีกำจัดทำได้หลายวิธี เช่น
ก. แช่ปลาในน้ำเกลือเข้มข้น 3% เมื่อปลามีอาการกระวนกระวายแล้วจึงเปลี่ยนน้ำใหม่
ข. แช่ปลาในน้ำยาฟอร์มมาลินเข้มข้น 25 ส่วนในล้านส่วน
ค. แช่ปลาในสารละลายด่างทับทิม 3 ส่วนในล้านส่วน
3. โรคท้องบวม เกิดกับปลาสวายทุกชนิด อาการที่ปรากฏคือ ส่วนท้องของปลาจะบวมออกมาเห็นได้ ชัดเจน ทำให้ปลามีการเคลื่อนไหวช้าลงและตายในที่สุดเช่นกัน การรักษาที่ได้ผล คือ การถ่ายน้ำ และใส่เกลือลงในบ่อปลา
4. โรคที่เกิดจากพยาธิ “แดดทีโลไยรัล” (Dactylogyrus sp.) หรือพวกพยาธิตัวแบน เกิดกับปลาทุกขนาดที่เป็นโรคนี้จะมีอาการหายใจไม่สะดวก เพราะพยาธิจะเข้าเกาะและทำลายซี่เหงือกปลา การกำจัดทำได้โดยการใช้ น้ำยาฟอร์มาลิน 50 ส่วนในล้านส่วนหรือสารละลายดิพเทอร์เร็กซ์ 0.25 ส่วนในล้านส่วนก็ได้ผลเช่นเดียวกัน และ การใช้ตัวยาเข้มข้นในระดับนี้หากปลาที่ใส่ลงแช่ในน้ำยามีอาการทุรนทุราย ควรรีบจับปลาไปปล่อยไว้ในน้ำ ธรรมชาติต่อไป มิฉะนั้นปลาอาจตายได้โดยทั่วไปจะแช่ไม่เกิน 10 - 15 นาที ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับน้ำและอุณหภูมิ ของน้ำที่ใส่แช่ หากอุณหภูมิสูง น้ำมีปริมาณน้อย ก็ต้องใช้ระยะเวลาน้อยกว่านี้
หมายเหตุ อัตราส่วน 1 ส่วนในล้านส่วน หมายถึง น้ำยา 1 ซีซี ต่อปริมาณน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร หรือ 1,000 ลิตร
5. โรคหูดเม็ดข้าวสาร ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีตุ่มสีขาวขุ่นอยู่ตามลำตัวลักษณะคล้ายเม็ดข้าวสาร มักพบใน กรณีที่มีการปล่อยปลาเลี้ยงอย่างหนาแน่น และการถ่ายเทน้ำไม่สะดวก ปลาจะมีอาการผอมไม่กินอาหาร และทยอย ตาย สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อสปอร์โรซัวขนาดเล็ก ชนิดของปลาที่มีรายงานว่าเป็นโรคนี้ ได้แก่ ปลาดุก สวาย
การป้องกันและรักษา
1. อย่าปล่อยปลาแน่นเกินไป และควรทำการถ่ายเทน้ำในบ่อปลาอย่างสม่ำเสมอ
2. ถ้าพบปลาเป็นโรคควรเผาหรือฝังเสีย เพื่อป้องกันการระบาดของโรค
3. เมื่อปลาเป็นโรคแล้วไม่มีทางรักษา
4. ถ้านำปลาที่เป็นโรคในขั้นไม่รุนแรงมากมาเลี้ยงในที่ที่มีน้ำถ่ายเทสะดวก และในอัตราที่ไม่หนาแน่นมาก ปลาก็อาจจะหายจากโรคได้เองบางส่วน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น